Вы находитесь на странице: 1из 22

15

ไฟฟ้ าเคมี (ElectroChemistry)

ไฟฟ้ าเคมี เป็ นการศึกษาเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีท่ี


ทำาให้เกิดกระแสไฟฟ้ า กระแสไฟฟ้ าทำาให้เกิดปฏิกิริยา
เคมีหากใช้การถ่ายเทอิเล็กตรอนเป็ นเกณฑ์แล้ว ปฏิกร ิ ิยา
เคมีแบ่งเป็ น 2 ประเภท
1. ปฏิกิรย ิ าที่มีการถ่ายเท e- เรียกว่าปฏิกิรย ิ ารีดอก
ซ์ (Redox Reaction)
2. ปฏิกิริยาที่ไม่มีการถ่ายเท e- เรียกว่าปฏิกิริยา
นอนรีดอกซ์ (Nonredox Reaction)
ปฏิกิริยารีดอกซ์ (Redox Reaction หรือ
Oxidation-reduction Reaction)
ปฏิกิรย
ิ ารีดอกซ์ หมายถึง ปฏิกิริยาที่เกี่ยวกับการ
ถ่ายเท e-
ตัวอย่าง เมื่อนำาแผ่นโลหะทองแดง (Cu) จ่่มลงใน
สารละลายของ AgNO3 พบว่าที่แผ่นโลหะ Cu มีของแข็งสี
ขาวปนเทามาเกาะอย่่ และเมื่อนำามาเคาะจะพบว่าโลหะ Cu
เกิดการสึกกร่อน ส่วนสีของสารละลาย AgNO3 ก็จะเปลี่ยน
จากใสไม่มีสีเป็ นสีฟ้า
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ อธิบายได้ว่าการที่โลหะ
ทองแดงเกิด การสึกกร่อนเป็ นเพราะโลหะทองแดง(Cu) เกิด
การเสียอิเล็กตรอนกลายเป็ น Cu2+ ซึ่งมีสีฟ้าและเมื่อ Ag+
รับอิเล็กตรอนเข้ามาจะกลายเป็ น Ag (โลหะเงิน) มาเกาะ
อย่่ท่ีแผ่นโลหะทองแดง
ปฏิกิรย ิ าที่เกิดขึ้น เขียนในร่ปสมการได้ดังนี้
Cu(s) Cu2+(aq) + 2 e-
(ปฏิกิริยาออกซิเดชัน)
Ag+(aq) + e- Ag(s)
(ปฏิกิริยารีดักชัน)
e- ที่ถ่ายเทต้องเท่ากัน สมการเคมีท่ีเกิดขึ้นที่แท้
จริงต้องเป็ น
15

Cu(s) Cu 2+(aq) + 2 e-
(ปฏิกิริยาออกซิเดชัน)
2Ag+(aq) +2 e- 2Ag(s)
(ปฏิกิริยารีดักชัน)
ปฏิกิรย ิ าที่เกิดขึ้นในแต่ละสมการเรียกว่าครึ่งปฏิกิริยา
ซึ่งการเกิดปฏิกิริยาถ่ายเท e- จะเกิดขึ้นได้สมบ่รณ์ก็ต่อเมื่อ
ต้องนำาครึ่งปฏิกิริยาทั้งสองมารวมกัน เขียนเป็ นสมการได้
ดังนี้
Cu(s) + Ag+(aq) Cu2+(aq) +
2Ag(s) (ปฏิกิริยารีดอกซ์)
สร่ปได้ว่าการเกิดปฏิกิริยารีดอกซ์จะต้องประกอบไป
ด้วย
1. สารทีใ ่ ห้ e- เรียกว่าตัวรีดิวซ์ เกิด
ปฏิกิรย ิ าออกซิเดชัน (Oxidation Reaction)
2. สารทีร ่ ับ e- เรียกว่าตัวออกซิไดซ์ เกิด
ปฏิกิรย ิ ารีดักชัน (Reduction Reaction)

เซลล์ไฟฟ้ าเคมี

เนื่ องจากการที่สารที่ให้ e- และสารที่รับ e- สัมผัส


กันโดยตรง จะไม่สามารถแสดงกระแสไฟฟ้ าที่เกิดขึ้นได้ ดัง
นั้นหากต้องการให้มีกระแสไฟฟ้ าเกิดขึ้นต้องมีการนำาลวด
ตัวนำาไฟฟ้ าต่อเชื่อมเข้าไประหว่างขั้วไฟฟ้ าของครึ่งเซลล์ท่ีให้
e- และครึ่งเซลล์ท่ีรับ e- และพร้อมกับโวลต์มเิ ตอร์ และ
สะพานเกลือเชื่อมระหว่างครึ่งเซลล์ท้ังสอง
เซลล์ไฟฟ้ าเคมี
ขั้วไฟฟ้ า e- ® e- ® ขั้วไฟฟ้ า
เช่น

ขั้วไฟฟ้ า
15

ขั้วไฟฟ้ า
e-
e-
Cu สะพาน
เกลือ Ag

Ag+
Cu2+

Cu Cu2+ + 2 e-
Ag+ + e- Ag
ครึ่งเซลล์ Oxidation
Reduction
ขั้วไฟฟ้ า ลบ (อาโนด)
บวก (คาโทด)
ปฏิกิรย
ิ าที่เกิดขึ้น Cu(s) + 2Ag+(aq)
2+
Cu (aq) + 2Ag(s)

แผนภาพเซลล์ไฟฟ้ าเคมี
หากปฏิกิริยารีดอกซ์ท่ีเกิดขึ้นเป็ น A(s) + B+
(aq) A+(aq) + B(s)
แผนภาพเซลล์ไฟฟ้ าเคมี A(s) |
+ +
A (aq) || B (aq) | B(s)

ครึ่งเซลล์ออกซิเดชัน ครึ่งเซลล์รีดักชัน

หมายเหตุ 1. | | แทนสะพานเกลือ และแต่ละครึ่ง


เซลล์ให้ใช้เครื่องหมาย | คั่นระหว่างสารต่าง
สถานะ
2. หากต้องการระบ่ความเข้มข้นให้เขียนไว้ใน
วงเล็บแล้ววางหลังสารละลาย
15

เช่น Cu(s) | Cu2+(aq)(0.1M) | |


Ag+(aq)(0.1M) | Ag(s)
3. หากสารในสถานะเดียวกันมีมากกว่า 1
ชนิ ด ให้ใช้เครื่องจ่ลภาค ( , ) คั่น
เช่น Fe(s) | Fe2+(aq) , Fe3+(aq) |
| Cu2+(aq) | Cu(s)

4. หากมีความดันเกี่ยวข้อง ให้ระบ่
ความดันในวงเล็บ แล้ววางหลังก๊าซนั้น
เช่น Pt(s) | H2(atm) | H+(aq) | |
Ag+(aq) | Ag(s)

ศักย์ไฟฟ้ ามาตรฐาน (E°)


ครึ่งเซลล์มาตรฐานที่ใช้เปรียบเทียบความสามารถใน
การให้รับ e- ของครึ่งเซลล์ต่างๆ จะใช้ครึ่งเซลล์ไฮโดรเจน
เขียนแทนด้วย Pt(s) | H2(1atm) | H+(1M) และกำาหนดให้
ค่าศักย์ไฟฟ้ าของไฮโดรเจนที่สภาวะมาตรฐาน(25°C,1atm)
มีค่าเท่ากับศ่นย์โวลต
Eo H2 = 0.00 Volt
การวัดค่าศักย์ไฟฟ้ ามาตรฐาน ของเซลล์ไฟฟ้ าใดๆ
ทำาได้โดยการนำาครึ่งเซลล์มาตรฐานไฮโดรเจนต่อกับครึ่ง
เซลล์ท่สี นใจ และขั้วไฟฟ้ าจะต้องจ่่มอย่่ในสารละลายเข้มข้น 1
Molar โดย
E°Cell = E°คาโทด - E°อาโนด
ข้อควรทราบเกีย ่ วกับค่า E°
1. ถ้ามีการกลับสมการ ค่า E° จะเท่า
เดิม แต่เครื่องหมายตรงกันข้าม
2. ถ้ามีการค่ณสมการด้วยตัวเลขใดๆ ค่า
E° จะเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
3. ค่า E°reduction ยิ่งมาก แสดงว่าสารนั้นยิ่งรับ
e- ได้ดี (แนวโน้มความเป็ นตัวออกซิ
ไดซ์มากขึ้น)
15

ค่า E°reduction ยิ่งตำ่า แสดงว่าสารนั้นยิ่งให้


e- ได้ดี (แนวโน้มความเป็ นตัวรีดิวซ์
มากขึ้น)
โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึง E° หากไม่มีการระบ่ว่าเป็ น
E°reduction หรือ E°oxidation ให้ถือว่าเป็ น
E°reduction
ประโยชน์ของค่า E°reduction
1. ใช้เปรียบเทียบความสามารถในการเป็ นตัวรีดิวซ์
และตัวออกซิไดซ์
Ä สารที่ให้ e- ได้ดี E° ตำ่า , สารที่รับ e- ได้ดี
E° ส่ง

เช่น Zn2+(aq) + 2 e-
Zn(s) E° = - 0.76 Volt
Ag+(aq) + e-
Ag(s) E° = 0.80 Volt

พิจารณา Eo Zn2+
< Eo Ag+

ตัวรีดิวซ์ : Zn > Ag
ตัวออกซิไดซ์ : Ag+ > Zn2+

2. ใช้คำานวณค่าศักย์ไฟฟ้ าของเซลล์และครึ่งเซลล์
อาศัยหลัก E°Cell = E°คาโนด -
E°อาโนด E°
= E°ขั้วบวก - E°ขั้วลบ
= E°ส่ง - E°ตำ่า
ประโยชน์ของค่า E°Cell
E°Cell > 0 ปฏิกิรย
ิ า
เกิดได้
E°Cell < 0
ปฏิกิรย
ิ าเกิดไม่ได้ (เกิดในทิศตรงข้าม)
15

E°Cell = 0 ปฏิกิรย
ิ า
เกิดไม่ได้แน่ นอน

ตัวอย่างการคำานวณศักย์ไฟฟ้ าของครึง ่ เซลล์


EX. เมื่อนำาครึ่งเซลล์ของ Ag | Ag+ ต่อกับครึ่ง
เซลล์ของ Pt | H2 | H+ พบว่าเข็มของโวลต์มิเตอร์เบนหาขั้ว
Ag และอ่านค่าได้ 0.80 Volt ให้หาค่า E° ของ Ag+ + e-
Ag
วิธีทำา จากการที่เข็มโวลต์เบนเข้าหาขั้ว Ag
แสดงว่า Ag | Ag+ รับ e-
Pt | H 2 | H+ ให้
e-
จาก E°Cell = E°คาโทด - E°อา
โนด
0.80 = Eo Ag - Eo H2
0.80 = E o Ag –
0
ดังนั้น Eo Ag = 0.80 Volt
นั่นหมายความว่า Ag+ + e- Ag
E° = 0.80 Volt #
ตัวอย่างการคำานวณศักย์ไฟฟ้ าของเซลล์
EX. เมื่อนำาครึ่งเซลล์ของ Fe | Fe2+ ต่อเข้ากับ Ni
| Ni2+ ให้หาค่า E°Cell
กำาหนด Fe2+ + 2 e- Fe
E° = - 0.41 Volt
Ni2+ + 2 e- Ni
E° = - 0.23 Volt
วิธีทำา E°Cell = E°ส่ง - E° ตำ่า = -
0.23 - ( - 0.41)
= 0.18 Volt
#
อิเล็กโตรลิซิส (Electrolysis)
15

ปฏิกิรย ิ าใดที่เกิดขึ้นไม่ได้ เช่น Cu(s) + Zn+(aq)


Cu2+(aq) + Zn(s) หากต้องการทำาให้เกิดปฏิกิริยาก็
สามารถทำาได้โดยผ่านพลังงานไฟฟ้ าจากภายนอก ซึ่ง
ปฏิกิรยิ าที่ได้จากการแยกสลายด้วยด้วยไฟฟ้ านี้ มีช่ ือเรียกว่า
อิเล็กโตรลิซิส (Electrolysis)

ส่วนประกอบที่สำาคัญของ Electrolytic Cell


1. แหล่งพลังงานไฟฟ้ าจากภายนอก
2. ขั้วไฟฟ้ า
3. สารละลายอิเล็กโตรไลท์
ลักษณะการเกิดปฏิกร ิ ิยาเป็ นดังนี้
สารที่ให้ e- แก่ข้ัวบวก เกิดปฏิกริ ิยา Oxidation
ขั้วอาโนด -
สารที่รับ e- จากขั้วลบ เกิดปฏิกิรยิ า Reduction
ขั้วคาโทด +
การดุลสมการรีดอกซ์
ต้องผ่านขั้นตอนการหาเลขออกซิเดชัน
1.โดยเลขออกซิเดชันจะหมายถึงตัวเลขแสดงค่า
ประจ่ไฟฟ้ าที่แท้จริงหรือประจ่ไฟฟ้ าสมมติของธาต่
เกณฑ์การกำาหนดค่าเลขออกซิเดชัน (O.N.)
1. ธาต่อิสระ (ไม่รวมตัวกับธาต่อ่ ืน มีค่า O.N. =
ศ่นย์)
เช่น Mg , O2 , O3 , S8 , P4
2. ธาต่หม่่ 1 ในสารประกอบ มีค่า O.N. = 1
เช่น LiNo3 , NaCl , KclO3
1. ธาต่หม่่ 2 ในสารประกอบ มีค่า O.N. = 2
เช่น MgCl2 , CaCO3 , BeCl2
4. ธาต่ไฮโดรเจน ในสารประกอบ มีค่า O.N. =
1
เช่น HCl , NH3 , H2O
15

ยกเว้น ในสารประกอบของโลหะ เช่น


NaH , AlH3 H มี O.N. = -1
5. ธาต่ออกซิเจน ในสารประกอบ มีค่า O.N. =
-2
เช่น H2O , CO2 , C2O
ยกเว้น H2O2 , Na2 O , NaO2 , OF
O มี O.N. = -2
6. ผลรวมของ O.N. ในสารประกอบมีค่าเป็ น
ศ่นย์
เช่น KmnO4 , MnO2 , Na2C2O4
7. ผลรวมของ O.N. ในไอออนเท่ากับจำานวน
ประจ่
เช่น MnO4- , Cr2O72-, Fe(CN)63-
Note ไอออนที่ควรจำา SO42- , CN- , CO32- , NO3-
ไอออนที่มี O.N. เท่ากับจำานวนประจ่

ตัวอย่างการหาเลขออกซิเดชันของธาตุ
Mn2O7 2Mn + 7O = 0
Na3PO4 3Na + P + 4O = 0
2Mn + 7(-2) = 0
3(1) + P + 4(-2) = 0
2Mn = 14
3+P–8 = 0
Mn = +7 #
P = +5 #

MnSO4 Mn + SO4 = 0
2-
C2O 4 2C + 4O = -2
Mn + (-2) = 0
2C + 4(-2) = -2
Mn = +2 #
2C = 6
15

C
= +3 #

ขัน
้ ตอนการดุลสมการรีดอกซ์
1. หาธาต่ท่ีมี O.N. เปลี่ยนไป ต่อ 1 อะตอมของธาต่
2. นำาเลข O.N. ที่เปลี่ยนไปมาค่ณไขว้ (เพื่อให้
จำานวน e- ที่ถ่ายเทเท่ากัน)
3. ด่ลอะตอมของธาต่ (H กับ O ทำาทีหลัง)
4. ถ้าทอนได้ให้ทอนเป็ นอัตราส่วนอย่างตำ่าด้วย
ตัวอย่างการดุลสมการรีดอกซ์
EX. FeCl3 + SnCl2 FeCl 2 +
SnCl4
1. หาเลข O.N. ที่เปลี่ยนไป ต่อ 1 อะตอมของธาต่
FeCl3 + SnCl2 FeCl2 +
SnCl4
+3 +2 +2
+4
รับ 1 e-
เสีย 2 e-

2. ค่ณไขว้จำานวน e- ให้ถ่ายเทเท่ากัน
2FeCl3 + SnCl2 FeCl 2 +
SnCl4
3. ด่ลสมการ
2FeCl3 + SnCl2 2FeCl 2 +
SnCl4

EX. KMnO4+ KNO2 + H2SO4


MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4
1. หาเลข O.N. ที่เปลี่ยนไป ต่อ 1 อะตอมของธาต่
15

KMnO4 + KNO2 + H2SO4


MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4
+7 +3
+2 +5
รับ 5 e-
เสีย 2 e-
2. ค่ณไขว้จำานวน e- ให้ถ่ายเทเท่ากัน
2KMnO4 + 5KNO2 + H2SO4
MnSO4 + H2O + KNO3 + K2SO4
3. ด่ลสมการ
2KMnO4 + 5KNO2 + 3H2SO4
2MnSO4 + 3H2O + 5KNO3 + K2SO4
การดุลสมการรีดอกซ์แบบครึง ่ ปฏิกิริยา
ทำาตามขั้นตอนดังนี้
1. ในสารละลายกรด
EX. Fe2+ + Cr2O72- Fe3+ + Cr3+
วิธีทำา 1. แยกครึ่งปฏิกิริยา
2+
Fe Fe 3+
Cr2O72- Cr3+
2. ด่ลอะตอม
Fe2+ Fe 3+
Cr2O72- 2Cr3+
เติม H2O ด้านขาดออกซิเจน
เท่ากับจำานวนที่ขาด
ออกซิเจน
Cr2O72- 2Cr3+
+ 7H2O
เติม H+ ด้านขาดไฮโดรเจน
เท่ากับจำานวนที่ขาด
ไฮโดรเจน
Cr2O72-- + 14H+
2Cr3+ + 7H2O
3. ด่ลประจ่ (โดยการเติม e- )
15

จาก Fe2+ Fe3+ + e-


จำานวนประจ่เท่ากันคือ 2
Cr2O72- + 14H+ + 6 e- 2Cr3+ +
7H2O จำานวนประจ่เท่ากันคือ 6
2. ทำาการถ่ายเท e- ให้เท่ากัน (โดยการค่ณไขว้
จำานวน e- )
6Fe2+ 6Fe3+ + 6 e-
Cr2O72- + 14H+ + 6 e- 2Cr3+ +
7H2O

5. รวมสมการ
6Fe2+ + Cr2O72- + 14H+
6Fe3+ + 2Cr3+ + 7H2O

2. ในสารละลายเบส
EX. I- + MnO4- ® I2 + MnO2
วิธีทำา แยกครึ่งปฏิกิริยา
I-
I2 ด่ลอะตอม
MnO4- MnO2
2I -
I2 ด่ลประจ่
อะตอมของ Mn ด่ลแล้ว
2I- I2 + 2 e-
ด่ล O โดยเติม H2O ด้านขาด O เท่ากับ
จำานวนที่ขาด O2
4-
MnO4 MnO2 + 2H2O
เติม H+ ด้านขาด H เท่ากับจำานวนที่ขาด H
MnO44- MnO2 + 2H2O

สารละลายเบสห้ามมีกรด ดังนั้นต้องเติม OH- ทั้ง


2 ด้าน
MnO4- + 4H+ + 4OH- MnO2 + 2H2O
-
+ 4OH
15

H+ + OH- H2O ดังนั้นจะได้สมการ


เป็ น
MnO4- + 4H2O MnO2 + 2H2O +
4OH- หักล้าง H2O
MnO4- + 2H2O MnO2 + 4OH-
ด่ลประจ่
MnO4- + 2H2O +3 e- MnO2 + 4OH-
ทำา e- ที่ถ่ายเทให้เท่ากัน (โดยค่ณไขว้จำานวน
e- )
Oxidation 2I- I2 + 2 e-
(1)
Reduction MnO 4- + 2H2O + 3 e-
MnO2 + 4OH- (2)
(1)x3 จะได้
-
6I 3I2 + 6 e-
(2)x2 จะได้ 2MnO4- + 4H2O + 6
e- 2MnO2 + 8OH-
รวมสมการ 6I- + 2MnO4- + 4H2O 3I2 +
2MnO2 + 8OH-

ประโยชน์ของเซลล์กล
ั วานิ ก
เซลล์กัลวานิ ก อาจแบ่งออกได้เป็ น 2 ลักษณะ คือ
1. เซลล์ปฐมภูมิ< Primary Cell>
เป็นเซลล์ทีเ่ มื่อใช้แล้วไม่อาจทำาให้กลับไปส่่สภาพเดิมได้
อีกโดยใช้ศักย์ไฟฟ้ าภาพนอก เซลล์ชนิ ดนี้
ได้แก่ ดาเนี ยลเซลล์ เซลล์แห้ง และอื่นๆ
1.1 เซลล์แห้งหรือถ่านไฟฉาย
เซลล์แห้งหรือบางทีเรียกว่าเซลล์เลอคลัง เซลล์ (leclanche cell)
เป็ นเซลล์ท่ีใช้ในไฟฉาย ซึ่งมีลักษณะตามรูปที่ 1. กล่องของเซลล์ทำา
15

ด้วยโลหะสังกะสีซ่ึงทำาหน้ าที่เป็ นขัว้ ลบ ส่วนแท่งคาร์บอนหรือแกไฟต์


ทำาหน้ าที่เป็ นขัว้ บวก ภายในกล่องระหว่างสองอิเล็กโตรดบรรจุดว้ ย
ของผสมของแอมโมเนี ยมคลอไรด์, แมงกานี ส (IV) ออกไซด์, ซิงค์
(II) คลอไรด์, ผงคาร์บอนกับของแข็งอื่นที่ไม่มีส่วนในการทำาปฏิกิริยา
และทำาให้ชุ่มด้วยนำ ้ า ระหว่างของผสมเหล่านี้กับกล่องสังกะสีกัน ้ ด้วย
กระดาษพรุน ตอนบนของเซลล์ผนึ กด้วยวัสดุท่ีสามารถรักษาความชื้น
ภายในเซลล์ให้คงที่ เมื่อเซลล์ทำาหน้ าที่จา่ ยไฟฟ้ า Zn จะละลายเป็ น
Zn2+เป็ นเหตุให้กล่องสังกะสีเป็ นขัว้ ลบ ปฏิกริ ิยาที่เกิดขึ้นจึงเป็ น
ปฏิกริ ิยาออกซิเดชัน
Zn(s) ------------> Zn2+(aq) + 2e-
ที่ขัว้ บวก แมงกานี ส(IV) ออกไซด์กจ็ ะถูกรีดิวซ์
ซึ่งมีปฏิกิริยาครึ่งเซลล์เป็ นดังนี้
2MnO2(s) + 8NH4+(aq) + 2e---->2Mn3+(aq)-4H2O + 8NH3<(aq)
เพราะฉะนั ้นปฏิกิริยาสุทธิท่ีได้จากปฏิกิริยาครึ่งเซลล์ทัง้ สอง จึงเป็ น
Zn(s) +2MnO2(s) + 8NH+4(aq)-------->Zn2+(aq) + 2Mn3+(aq) +
8NH3(aq) +4H2O
ถ้ามีการจ่ายกระแสไฟฟ้ ามากก็จะทำาให้เกิด NH3 ขึ้น ซึ่งจะเข้าทำา
ปฏิกริ ิยากับ Zn 2+
เกิดเป็ นไอออนเชิงซ้อน เป็ นต้นว่า [Zn(NH3)4]2+
และ [ Zn(NH3)4 ]2+ และ [ Zn(NH3)2(H2O)2]2+ เซลล์แห้งดังกล่าวจะ
ให้ศักย์ไฟฟ้ าประมาณ 1.5 โวลต์ การเกิดไอออนเชิงซ้อนช่วยรักษา
ความเข้มข้นของ Zn2+ ไม่ให้สูงขึ้น จึงทำาให้ศักย์ไฟฟ้ าของเซลล์เกือบ
คงที่เป็ นเวลานานพอสมควร
15

รูปที่1. ส่วนประกอบของเซลล์แห้ง

1.2 เซลล์สำาหรับวัตถุประสงค์พิเศษ
สำาหรับเซลล์วัตถุประสงค์พิเศษ ที่จะกล่าวถึง ได้แก่ เซลล์รูบิน-
มาลลอรี่(Rubin-Mallory cell) หรือบางทีเรียกเซลล์
เมอร์คิวรี(Mercury cell) ซึ่งมีขนาดเล็กและใช้กันมากในเครื่องฟั ง
เสียงสำาหรับคนหูพิการ หรือประโยชน์อ่ ืนๆ เซลล์นี้ใช้กล่องสังกะสี
เป็ นขัว้ ลบ แท่งคาร์บอน(แกรไฟต์ เป็ นขัว้ บวก คล้ายกับของเซลล์แห้ง
แต่ใช้อิเล็กโตรไลต์เป็ นของผสมที่ชุ่มและเหนี ยวของเมอร์คิวรี (II)
ออกไซด์ โซเดียมหรือโพแทสเซียมไฮ ดรอกไซด์ เซลล์นี้จะให้ศักย์
ไฟฟ้ าประมาณ 1.3 โวลต์ และมีปฏิกริ ิยาเคมีดังนี้
ขั้วลบ :Zn(s) + 2OH-(aq)-----------
>Zn(OH)2(s) + 2e-
ขั้วบวก :HgO(s) + 2H2O + 2e-
--------->Hg(l) + 2OH-(aq)
ปฏิกิรยิ าส่ทธิ : Zn(s) + HgO(s) + 2H2O
------>Zn(OH)2(s) + Hg(l)
1.3 ดาเนี ยลเซลล์ (Daniel Cell)
จากภาพ อิเล็กโตรดทองแดงประกอบด้วยโลหะทองแดง
บรรจุอยู่ในสารละลายอิ่มตัวของคอปเปอร์(||) ซัลเฟต (A) ส่วนล่าง
ของเซลล์มีผลึกของคอปเปอร์ซัลเฟตเพื่อให้สารละลายอิ่มตัว สารอิ
เล็กโตรดสังกะสีประกอบด้วย โลหะสังกะสี( B ) ลอยอยู่ในสารละลาย
สังกะสีซัลเฟตที่เจือจางไกล้ๆส่วนบนของเซลล์ เหนื อสารละลาย
คอปเปอร์ซัลเฟตซึ่งมีความหนาแน่ นมากกว่า เมื่อโลหะสังกะสีและ
ทองแดงเชื่อมต่อกันด้วยลวด อิเล็กตรอนจะไหลผ่านเส้นลวดจาก
สังกะสีซ่ึงถูกออกซิไดซ์ง่ายกว่าไปยังทองแดงซึ่งออกซิไดซ์ยากกว่า
สังกะสีจะถูกออกซไดซ์กลายเป็ น Zn2+ ในสารละลาย ในขณะเดียวกัน
Cu2+ จะถูกรีดิวซ์เป็ นทองแดง ดังสมการ แอโนด : Zn-------------
>Zn2+ + 2e-
แคโทด : Cu2+ + 2e-------------->Cu
ปฏิกริ ิยาสุทธิ Zn + Cu2+---------------->Zn2+ + Cu
15

ถ้าความเข้มข้นของ Zn2+ เพิ่มขึ้น ปฏิกิริยาที่ขัว้ บวก ( anode ) จะเลื่อน


ไปทางซ้าย เป็ นผลให้ศักย์ไฟฟ้ าของเซลล์ลดลง
เซลล์ท่ีใช้หลักการเดียวกับดาเนี ยลเซลล์ แต่ใช้แคดเมียมและนิ เกิล
แทนสังกะสีและทองแดงใช้กันมากในแบตเตอรี่ เพราะมีอายุการใช้
งานที่นานกว่า

2. เซลล์ทุติยภูมิSecondary Galvanic Cell


เป็ นเซลล์ท่ีสารซึ่งเป็ นส่วนประกอบของเซลล์สามารถทำากลับให้
อยู่ในสภาพเดิมได้อก ี โดยให้กระแสไฟฟ้ าไหลผ่านในทิศทางตรงกัน
ข้ามกับการจ่ายไฟ (Discharge) วิธีการนี้เป็ นการให้ประจุใหม่แก่เซลล์
เซลล์ชนิ ดนี้ได้แก่ แบตเตอรี่ตะกัว่ และแบตเตอรี่แบบเอดิสันเป็ นต้น
2.1 แบตเตอรี่สะสมไฟฟ้ าแบบตะกัว่ (lead storage battery)
แบตเตอรี่สะสมไฟฟ้ าแบบตะกัว่ จะ ประกอบด้วยอิเล็กโตรสอง
อันซึ่งเป็ นแผ่นตะกัว่ และแผ่นเลด(IV) ออกไซด์ มีกรดซัลฟุริกเจือจาง
เป็ นอิเล็กโตรไลต์ เมื่อมีการจ่ายไฟฟ้ า แผ่นตะกัว่ จะถูกออกซิไดส์เป็ น
เลด (II) ไอออน และทำาหน้ าที่เป็ นขัว้ ลบ ดังรูป 2
Pb(s) --------->Pb2+(aq) + 2e-
เลด(II) ไอออนจะรวมตัวกับชัลเฟตไอออนเป็ นเลด(II) ซัลเฟต
Pb2+(aq) + SO2-4(aq)------->PbSO4(s) รูปที่2 ส่วนประกอบ
ของแบตเตอรี่สะสมไฟฟ้ าแบบตะกัว่
เมื่อรวมสมการทัง้ สองเข้าด้วยกัน ก็จะเป็ นปฏิกิรย ิ าครึ่งเซลล์ท่ีมีการ
เกิดออกซิเดชัน
Pb(s) + SO2-4(aq) ------------>PbSO4(s) +2e-
อิเล็กตรอนจะเคลื่อนที่จากขัว้ ลบตามเส้นลวดไปยังอิเล็กโตรดอีกอัน
หนึ่ งที่เป็ นเลด(IV) ออกไซด์ ซึ่งมีไฮโดรเจนไอออนจากอิเล็กโตรไลต์
และจะถูกรีดิวซืดังสมการ
PbO2(s) +4H+(aq) +2e---------->Pb2+(aq) + 2H2O
และ Pb2+ จะรวมตัวกับ SO2-4 ที่มีในสารละลาย
Pb2+(aq) + SO2-4(aq)------------>PbSO4 (s)
ปฏิกริ ิยาที่เกิดขึ้นที่เลด (IV) ออกไซด์จึงเป็ นปฏิกิริยาครึ่งเซลล์ท่ีมีการ
เกิดรีดักชัน
PbO2(s) + 4H+(aq) + SO2-4(aq) + 2e-
------------>PbSO4(s) + 2H2O
15

การจ่ายไฟฟ้ าที่เกิดขึ้นจากทัง้ สองอิเล็กโตรดอาจสรุปได้ดังนี้


ขัว้ ลบ : Pb(s) + SO2-4(aq)-------->PbSO4(s) +
2e-
ขัว้ บวก : PbO2(s) + 4H+(aq) + SO2-4(aq) +
2e------------>PbSO4(s) + 2H2O
ปฏิกริ ิยาสุทธิ : Pb(s) + PbO2(s) + 4H+(aq) + 2SO2-
4(aq)----->2PbSO4(s) +2H2O

ปฏิกริ ิยาของเชลล์ข้างบนเป็ นแบบผันกลับได้ เพราะฉะนั ้นถ้า


ต้องการให้ผันกลับก็จำาเป็ นจะต้องมีการอัดไฟฟ้ า โดยการต่อขัว้ บวก
ของเซลล์กับขัว้ บวกของเครื่องอัดไฟฟ้ าและขัว้ ลบกับขัว้ ลบของเครื่อง
อัดไฟฟ้ า ปฏิกริ ิยาสุทธิข้างบนก็จะเปลี่ยนทิศทางเป็ นจากขวาไปซ้าย
ในลักษณะนี้เลด(II) ซัลเฟตที่ขัว้ ลบก็จะเปลี่ยนเป็ นตะกัว่ ส่วนอีกขัว้
หนึ่ ง เลด(II) ซัลเฟตจะเปลี่ยนเป็ นเลด (IV) ออกไซด์ ตามปฏิกริ ิยา
ของแบตเตอรี่สะสมแบบตะกัว่ จะเห็นว่าในขณะที่มีการจ่ายไฟฟ้ า
ความเข้มข้นของกรดจะลดลงเรื่อยๆ ตามปกติตอนที่มีศักย์ ไฟฟ้ าเต็ม
ที่จะมีความถ่วงจำาเพาะ ประมาณ 1.25 ถึง 1.30 แล้วแต่อุณหภูมิใน
ขณะนั ้นๆ ถ้าหากเมื่อใดมีความถ่วงจำาเพาะตำ่ากว่า 1.20 ที่อุณหภูมิของ
ห้องก็ควรจะมีการอัดไฟฟ้ าได้ แต่ละเซลล์ของแบตเตอรี่จะมีศักย์ไฟฟ้ า
ประมาณ 2 โวลต์ เพราะฉะนั ้นถ้ารถยนต์ใช้แบตเตอรี่ 12 โวลต์ก็จะ
ต้องประกอบด้วย 6 เซลล์
15

2.ภาพประกอบของแบตเตอรี่สะสม
ไฟฟ้ าแบบตะกัว่

2.2 แบตเตอรี่สะสมไฟฟ้ าแบบเอดิสัน (Edison storage battery)

แบตเตอรี่แบบนี้ประกอบแผ่นเหล็กกล้า บรรจุผงเหล็กละเอียด
ส่วนนี้ทำาหน้ าที่เป็ นขัว้ ลบ สำาหรับขัว้ บวกเป็ นแผ่นเหล็กกล้าบรรจุด้วย
นิ เกิล(IV) ออกไซด์ไฮเดรต ส่วนอิเล็กโตรไลต์เป็ นสารละลายที่มี
โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ 21% ผสมลิเที่ยมไฮดรอกไซด์เล็กน้ อย เมื่อ
มีการจ่ายไฟฟ้ า ปฏิกิริยาครึ่งเซลล์เกิดขึ้นดังนี้
ขัว้ ลบ : Fe(s) + 2OH-(aq)
----------->Fe(OH)2(s) + 2e-
ขัว้ บวก : NiO2(s) + 2H2O + 2e- ---------->Ni(OH)2(s) +
2OH-(aq)
ปฏิกริ ิยาสุทธิ : Fe(s) + NiO2(s) + 2H2O-----------
>Fe(OH)2(s) + Ni(OH)2(S)
15

เมื่อมีการอัดไฟฟ้ า ปฏิกิริยาจะเปลี่ยนทิศทางจากขวาไปซ้าย
ศักย์ไฟฟ้ าของแต่ละเซลล์ของแบตเตอรี่แบบเอดิสัน มีค่า
ประมาณ 1.4 โวลต์
ถ้าใช้ผงแคดเมียมมาแทนผงเหล็กจะเป็ นแบตเตอรี่สะสม
ไฟฟ้ าแบบนิ กเกิล-แคดเมียม ซึ่งมีศักย์ไฟฟ้ าประมาณ 1.3 โวลต์ และมี
ปฏิกริ ิยาครึ่งเซลล์ พอสรุปได้ดังนี้
ขัว้ ลบ : Cd(s) + 2OH-(aq) ----------->Cd(OH)2(s)
+ 2e-
ขัว้ บวก: NiO2(s) + 2H2O + 2e-
----------->Ni(OH)2(s) + 2OH-(aq)
ปฏิกริ ิยาสุทธิ : Cd(s) + NiO2(s) + 2H2O
---------->Cd(OH)2(s) + Ni(OH)2(s)
แบตเตอรี่ทัง้ สองแบบที่กล่าวถึงในหัวข้อที่ 2. มีข้อดีคือ สามารถเก็บไว้
นานๆได้โดยไม่เสื่อมคุณภาพ ให้ศักย์ไฟฟ้ าค่อนข้างคงที่ ใช้กบ ั
อุปกรณ์วัดแสงในการถ่ายรูป เครื่องคิดเลข และอื่นๆ

ประโยชน์ของเซลล์อิเล็กโทรไลต์
การชุบ
หลักการทัว่ ไปสำาหรับการชุบโลหะด้วยไฟฟ้ า
1.ใช้โลหะที่จะชุบเป็ นแคโทด
2.จะชุบด้วยโลหะใดใช้โลหะนั ้นเป็ นแอโนด
3.สารละลายอิเล็กโทรไลต์ ต้องมีไอออนของโลหะที่เป็ นแอโนด
4.ใช้ไฟฟ้ ากระแสตรง และควบคุมศักดิไ์ ฟฟ้ าของเซลล์ให้เหมาะสม
เช่นการชุบช้อนสังกะสีด้วยเงิน กระทำาดังแผนภาพ
การทำาโลหะให้บริสุทธิ ์
การทำาโลหะให้บริสุทธิด์ ้วยกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส ใช้หลักการ
เดียวกับกับการชุบด้วยไฟฟ้ า โดยใช้โลหะที่บริสุทธิเ์ ป็ นแคโทด โลหะ
ที่ไม่บริสุทธิเ์ ป็ นแอโนด และใช้สารละลายที่มีไอออนของโลหะดังกล่าว
เป็ นอิเล็กโทรไลต์ เช่นการทำาทองแดงให้บริสุทธิ ์
โดยทัว่ ๆไปจะได้ทองแดงจากการถลุงแร่ ซึ่งจะมีความบริสุทธิ ์
ไม่เกิน 99% ที่เหลือจะเป็ นพวกสิ่งเจือปนต่าง ๆ เช่น Fe Ag Au
Pt และ Zn ถ้าใช้กระบวนการอิเล็กโทรลิซิสเข้าช่วย จะได้ทองแดงที่
มีความบริสุทธิถ์ ึง 99.95% ในอุตสาหกรรมจะสร้างเซลล์ดังนี้
15

การผุกร่อนของโลหะและการป้ องกัน
การผุกร่อนของโลหะที่พบบ่อยในชีวิตประจำาวันได้แก่ เหล็ก
เป็ นสนิ ม (สนิ มเหล็กเป็ นออกไซด์ของเหล็ก Fe2O3.xH2O) ซึ่งเกิดจาก
สาเหตุหลายประการ ตัวอย่างเช่น การที่อะตอมของโลหะที่ถูกออกซิ
ไดส์แล้วรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศเกิดเป็ นออกไซด์ของโลหะนั ้น
เช่น สนิ มเหล็ก(Fe2O3) สนิ มทองแดง (CuO) หรือสนิ มอลูมิ
เนี ยม(Al2O3) การเกิดสนิ มมีกระบวนการซับซ้อนมากและมีลักษณะ
เฉพาะตัวดังนี้
1. การผุกร่อนของโลหะ คือปฏิกิรย ิ าเคมีท่ีเกิดระหว่างโลหะกับ
ภาวะแวดล้อม
2. ภาวะแวดล้อมที่ทำาให้ผุกร่อน คือ ความชื้น และ
ออกซิเจน(H2O, O2) หรือ H2O กับอากาศ
3. ปฏิกริ ิยาเคมีท่ีเกิดในการผุกร่อน เป็ นปฏิกิริยารีดอกซ์
3.1 โลหะที่เกิดปฏิกิริยา Oxidation (ให้อิเล็กตรอน)
3.2 ภาวะแวดล้อมเป็ นฝ่ ายรับอิเล็กตรอน เกิดปฏิกิริยา Reduction
4. สมการแสดงปฏิกิริยาการผุกร่อน (เกิดจากการทดลอง)
โลหะ + ภาวะแวดล้อม -----> Ion ของโลหะ + เบส
Fe (s) + H2O (l) + O2 (g) -----> Fe2+ (aq) + OH- (aq)
Fe2+ ทดสอบโดยใช้สารละลาย K3Fe(CN)6 จะได้สีนำ้าเงิน ถ้าสีนำ้าเงิน
เข้ม แสดงว่ามี Fe2+ มาก ถ้าจางมี Fe2+ น้ อย
เบส(OH-) ทดสอบโดยสารละลายฟิ นอล์ฟทาลีน ได้สีชมพู
5. ในการ Balance สมการ
เมื่อเหล็กสัมผัสกับอากาศและความชื้น อะตอมของเหล็กจะเกิด
ปฏิกริ ิยาออกซิเดชันดังสมการ
Fe (s) ------> Fe2+ (aq) + 2e …………………………….….
(1) (Oxidation)
นำ ้ าและออกซิเจนรับอิเล็กตรอนจากเหล็ก ดังสมการ
2H2O (l) + O2 (g) + 4e ------> 4OH- (aq)
…………………..(2) (Reduction)
(1) * 2 + (2) ; 2Fe + 2H2O + O2 -------> 2Fe2+ + 4OH- (Redox)
15

การป้ องกันสนิ มเหล็ก


1. ทาสี ทานำ ้ ามัน การรมดำา และการเคลือบพลาสติก เป็ นการ
ป้ องกันการถูกกับ O2 และความชื้น ซึ่งเป็ นการป้ องกันการเกิดสนิ ม
ของโลหะได้และเป็ นวิธีท่ีสะดวกและให้ผลดีในการป้ องกันสนิ ม
2. โลหะบางชนิ ดมีสมบัติพิเศษ กล่าวคือเมื่อทำาปฏิกริ ิยากับ
ออกซิเจนจะเกิดเป็ นออกไซด์ของโลหะเคลือบอยู่บนผิวของโลหะนั ้น
และไม่เกิดการผุกร่อนอีกต่อไป โลหะที่มีสมบัติดังกล่าวได้แก่ อลูมิ
เนี ยม ดีบก ุ และสังกะสี การชุบ หรือเคลือบโดยโลหะที่ Oxide ของ
โลหะนั ้นคงตัว สลายตัวยาก จะเป็ นผิวบางๆ คลุมผิวโลหะอีกที ได้แก่
Cr (โครเมียม) และอลูมิเนี ยม(Al) เป็ นต้น ดังนั ้น Cr2O3.Al2O3 สลาย
ตัวยาก เรียกชื่อว่าวิธี อะโนไดซ์ (Anodize)
หมายเหตุ เหล็กกล้าไม่เกิดสนิ ม (stainless steel) เป็ น Fe ผสม Cr
3. การผุกร่อนของโลหะมีปฏิกิรย ิ าเกิดขึ้นเช่นเดียวกับแอโนดใน
เซลล์อิเล็กโทรไลต์ ดังนั ้นถ้าไม่ต้องการให้เกิดการผุกร่อนจึงต้องให้
โลหะนั ้นมีสภาวะเป็ นแคโทดหรือคล้ายกับแคโทด โดยใช้โลหะที่เสีย e-
ง่ายกว่าเหล็กไปอยู่กบ ั เหล็ก ได้แก่ Fe ชุบ Zn สำาหรับมุงหลังคา การฝั ง
ถุง Mg ตามท่อ หรือการผูก Mg ตามโครงเรือ จะทำาให้ Fe ผุช้าลง
เนื่ องจาก Zn & Mg เสีย e ง่ายกว่า Fe จะเสีย e แทน Fe เรียกชื่อวิธี
แคโธดิก (Cathodic)
4. การป้ องกันการผ่กร่อนของโลหะในระบบหล่อเย็นแบบปิ ด
เครื่องยนต์ท่ีใช้ในรถยนต์หรือเครื่องมือผลิตกระแส
ไฟฟ้ าจะใช้ระบบหล่อเย็นแบบปิ ดเพื่อรักษาอ่ณหภ่มิของ
เครื่องยนต์ไม่ให้ส่งมากเกินไป สารหล่อเย็นที่ใช้คือนำ้าซึ่งมี
ออกซิเจนละลายอย่่ ถ้าเครื่องยนต์มีโลหะผสมของอล่มิเนี ยม
ออกซิเจนที่ละลายอย่่ในนำ้าจะถ่กใช้ในการสร้างฟิ ล์มอล่มิ
เนี ยมออกไซด์ และฟิ ล์มนี้ จะป้ องกันการผ่กร่อนเครื่องยนต์ได้
แต่ถ้าเครื่องยนต์มีส่วนประกอบที่เป็ นโลหะผสมของเหล็ก
ส่วนประกอบของเครื่องยนต์ท่ีสัมผัสกับนำ้าจะเกิดการผ่กร่อน
ได้ เนื่ องจากออกไซด์ของเหล็กไม่มีสมบัติในการเป็ นสาร
เคลือบผิว จึงต้องเติมสารยับยั้งการกัดกร่อนซึ่งประกอบด้วย
สารประกอบของไนไตรต์โบแรกซ์ สารนี้ จะทำาให้น้ ำาในระบบ
หล่อเย็นมี pH ส่งกว่า 8.5 และทำาให้โลหที่เป็ นส่วนประกอบ
ของเครื่องยนต์เกิดปฏิกิรย ิ าออกซิเดชันได้ยาก การผ่กร่อน
ของโลหะจึงลดลง นอกจากนี้ การใช้ระบบปิ ดมีผลดีอีก
15

ประการหนึ่ งคือเป็ นการจำากัดปริมาณของออกซอเจนที่


ละลายลงไปในนำ้าจึงทำาให้การผ่กร่อนของโลหะลดลง

ความก้าวหน้ าทางเทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้องกับเซลล์ไฟฟ้ า
เคมี
1. การทำาอิเล็กโทรไดอะลิซิสนำ ้ าทะเล
อิเล็กโทรไดอะลิซิสเป็ นเซลล์อิเล็กโทรไลต์ท่ีใช้แยกไอออนออก
จากสารละลายโดยให้ไอออนเคลื่อนที่ผ่านเยื่อบางๆ ไปยังขัว้ ไฟฟ้ าที่มี
ประจุตรงกันข้ามซึ่งอยู่ริมทัง้ สองด้านทำาให้สารละลายส่วนกลางมี
ความเข้มข้นไอออนลดลงจึงนำ าหลักการนี้ไปแยกไอออนของโซเดียม
และคลอไรด์ไอออนออกจากนำ ้ าทะเลเพื่อผลิตนำ ้ าจืดจากทะเลได้
2. เซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell)
อีกวิธีหนึ่ งที่ใช้เปลี่ยนพลังงานเคมีเป็ นพลังงานไฟฟ้ าได้แก่
เซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งมีได้หลายแบบ ขึ้นกับว่าจะใช้สารอะไรเป็ นเชื้อเพลิง
เช่น ออกซิเจน(จากอากาศ) และนำ ้ ามันเชื้อเพลิง (fossil fuel) หรือ
ไฮโดรเจนและไฮดราซีน (hydrazine,N2H4) แต่เชื้อเพลิงที่ใช้กันมาก
ได้แก่ H2 และ O2 ซึ่งใช้กันในยานอวกาศ เพราะเชื้อเพลิงที่ใช้ยิงจรวด
เป็ นเชื้อเพลิงชนิ ดเดียวกัน เซลล์เชื้อเพลิง H2 - O2 แสดงในรูป ซึ่งแบ่ง
ได้เป็ นสามห้อง คือห้องทางซ้ายเป็ นทางเข้าของ H2 และห้องทางขวา
ซึ่งเป็ นทางเข้าของ O2 และห้องที่มีตำาแหน่ งอยู่กลางบรรจุอิเล็กโตรไลต์
ซึ่งเป็ นสารละลายเบส ห้องทัง้ สามแยกออกจากกันด้วยขัว้ ไฟฟ้ าที่มี
ลักษณะพรุน (porous electrode) ที่ทำาด้วยวัตถุตัวนำ า เช่น คาร์บอน
ผสมด้วยแพลตินัมเล็กน้ อย เพื่อทำาหน้ าที่เป็ นตัวเร่ง เมื่อป้ อน H2 และ
O2 เข้าทางห้องทางซ้ายและทางขวาพร้อมกัน แก๊สทัง้ สองจะแพร่ผ่าน
ไปยังขัว้ ไฟฟ้ า และทำาปฏิกิริยากับอิเล็กโตรไลต์ในห้องกลาง ออกซิเจน
ถูกรีดวิ ซ์ท่ีคาโทดเกิดเป็ น OH- ดังนี้
คาโทด O2(g)+2H2O(I)+4e- ------------------>4OH-(aq)

อิออน OH-จะซึมผ่านไปยังแอโนด และทำาปฏิกริ ิยากับ H2 ดังนี้


H2(g)+2OH-(aq)------------------>2H2O(I)+2e-
ปฏิกริ ิยาสุทธิของเซลล์คือ การเปลี่ยน H2 (g)และ O2(g) เป็ นนำ ้ า
นั่ นเอง
2H2(g)+O2(g) ------------------> 2H2O(I)
15

โดยปกติจะใช้อุณหภูมิสูงพอ เพื่อนำ ้ าที่ได้สามารถระเหยออกจากเซลล์


และควบแน่ นเป็ นนำ ้ าดื่มสำาหรับมนุษย์อวกาศ ถ้านำ าเชื้อเพลิงหลายๆ
เซลล์มาต่อเข้าด้วยกัน จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้ าได้หลายๆกิโลวัตต์
เซลล์เชื้อเพลิงมีข้อดีหลายประการเมื่อเปรียบเทียบกับเซลล์แห้งหรือ
เซลล์สะสมตะกัว่ เช่นสามารถป้ อนเชื้อเพลิงตลอดเวลา จึงได้เกิด
พลังงานขึ้นอย่างไม่มีท่ีสิน ้ สุดและมีประสิทธิภาพสูงกว่า นอกจากนี้
แล้ว เซลล์เชื้อเพลิงสามารถเปลี่ยนพลังงานเคมีเป็ นพลังงานไฟฟ้ าได้
โดยตรง โดยไม่มีผลิตผลพลอยได้ท่ีไม่พึงปรารถนาอย่างอื่น (การ
ผลิตกระแสไฟฟ้ าที่ใช้กันในปั จจุบันทัว่ ไปต้องใช้เชื้อเพลิงในการต้มนำ ้ า
ให้ได้ไอเพื่อนำ าไปหมุนกังหันที่ต่อ) และยังมีประสิทธิภาพสูงกว่า
(เซลล์เชื้อเพลิงอาจมีประสิทธิภาพมากกว่า 80% เปรียบเทียบกับ
เครื่องกำาเนิ ดไฟฟ้ ากังหันไอนำ ้ า ซึ่งทัว่ ไปสูงเพียงประมาณ 40%
เท่านั ้น)เซลล์เชื้อเพลิงจึงอาจเป็ นแหล่งพลังงานที่สำาคัญในอนาคต

3.ภาพของเซลล์เชื้อเพลิง

Вам также может понравиться