Академический Документы
Профессиональный Документы
Культура Документы
การศึกษาวงโคจรของดาวเคระห์ในระบบสุริยะของเรา - ที่มา
ปัญหาการหาวงโคจรของดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาลของเรานั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณนับ
ตั้งแต่เริ่มมีการสังเกตและบันทึกตำาแหน่งของดาวเคราะห์ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์
ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ คำา ว่าดาวเคราะห์ในภาษาอังกฤษคือ planet นั้นมีรากศัพท์ใน
ความหมายว่า “นักเดินทาง” คือมีการเปลี่ยนตำาแหน่งเมื่อเทียบกับดาวอื่นๆ ทีไ่ กลออกไป (fixed stars) ใน
สมัยโบราณเชื่อกันตาม Ptolemy ว่าดาวเคราะห์ทั้งหมด รวมถึงดาวอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างก็โคจรรอบ
โลกเป็นรูปวงกลม แต่ทฤษฎีนี้ไม่สามารถอธิบายลักษณะการเคลื่อนที่ย้อนกลับ (retrograde motion) ของ
ดาวเคราะห์บางดวง เช่น ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี และ ดาวเสาร์ได้ และยังไม่สามารถอธิบายว่าเหตุใดจึง
ไม่เกิดเหตุการณ์นี้กับดาวพุธและดาวศุกร์
ในช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 14 – 15 ในช่วงฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ได้เกิดทฤษฎี
ใหม่ขึ้นโดย Nicolas Copernicus โดยกล่าวว่า ดาวเคราะห์ทั้งหลายรวมถึงโลกนั้นโคจรรอบดวงอาทิตย์
ไม่ใช่ในทางกลับกัน แต่ก็ยังเชื่อว่าวงโคจรเป็นวงกลมอยู่ (ชาวตะวันตกในสมัยนั้นยังเชื่อว่าเทหวัตถุเหล่านี้
อยู่ในสวรรค์ คือเป็น heavenly bodies ดังนั้นวงโคจรที่เป็นรูปวงกลมซึ่งเชื่อกันว่ามีความสมบูรณ์มากที่สุด
จึงเหมาะสม ทั้งหมดนี้เป็นความเชื่อที่ผิดดังที่จะได้เห็นจากหลักฐานในสมัยหลังๆ และ การคำานวณที่เรา
กำาลังจะศึกษาในโครงงานนี้)
ความก้าวหน้าอย่างแท้จริงมาถึงเมื่อ Tyco Brahe นักดาราศาสตร์ และ Johannes Kepler นัก
คณิตศาสตร์ ได้ทำา การศึก ษาการเคลื่ อนที่ ของ “นั กเดินทาง” เหล่านี้ โดย Tyco Brahe ได้ลงทุนสร้าง
อุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ขนาดใหญ่โตเทียบกับที่ใช้กันมา (Quadrant ขนาดรัศมี 6 เมตรซึ่งมีความผิด
พลาดไม่เกินความกว้างของเข็มเย็บผ้าเมื่อมองจากระยะสุดแขน ) ทำาให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง และ Tyco ได้ทิ้ง
ข้อมูลเหล่านี้ไว้ให้ Kepler วิเคราะห์ ผลจากการศึกษาทำาให้สรุปกฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ได้ 3 ข้อ
โดยใช้เฉพาะข้อมูลเท่านั้น แต่ยังไม่มีเหตุผลว่าทำาไมจึงเป็นเช่นนี้ กฎทั้งสามคือ
1. กฎแห่งวงรี วงโคจรของดาวเคราะห์เป็นวงรีที่มีดวงอาทิตย์เป็นจุดโฟกัสจุดหนึ่ง
2. กฎแห่งพื้นที่ เส้นตรงที่ต่อระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์จะกวาดพื้นที่ได้เท่ากันในเวลาเท่ากัน
กฎนี้แสดงว่าเมื่อดาวเคราะห์อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ มันจะโคจรเร็วกว่าเมื่ออยู่ไกลจากดวงอาทิตย์
3. กฎฮาร์โมนิก กำาลังสองของคาบของการโคจรของดาวเคราะห์เป็นสัดส่วนโดยตรงกับกำาลังสามของ
กึ่งแกนยาว (รัศมีเฉลี่ย) ของวงโคจร
การให้เหตุผลว่าทำาไมดาวเคราะห์เหล่านี้จึงโคจรโดยมีระเบียบแบบแผนดังกล่าวกำากับนั้น ได้รับ
การอธิบายโดย Sir Isaac Newton ในเวลาต่อมา (โดยการรบเร้าของ Edmund Halley ผู้ค้นพบดาวหาง
ที่ได้รับขนานนามตามชื่อของเขา เพื่อนเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ Principia ของ Newton ที่เป็นต้นแบบ
ของฟิสิกส์เชิงทฤษฎีมาอีกกว่า 300 ปี)
เนื้อหาที่เราจะทำาการศึกษาก็คือ การหาวงโคจรของดาวเคราะห์โดยวิธีการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งจะ
ได้ผลลัพธ์เดียวกับ Newton แต่ว่าเราจะพิจารณาวิธีอื่นๆ ที่พัฒนาขึ้นภายหลัง เพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์ใน
การแก้ปัญหา และนำาวิธีการไปประยุกต์ใช้กับปัญหาอืน่ ๆ อย่างไรก็ดี จะกล่าวถึงประวัตติ ่ออีกเล็กน้อยก่อน
ที่จะเริ่มเนื้อหาส่วนที่เป็นคณิตศาสตร์
หลังจากเวลา 300 ปีผ่านไป ได้มีแบบจำา ลองใหม่โ ดย Albert Einstein ซึ่งให้ภาพลัก ษณ์ ของ
แรงดึงดูดว่าเป็นการบิดเบี้ยวของกาล -อวกาศ (space-time) และวัตถุใดๆ จะพยายามไปตามเส้นทางที่สั้น
ที่สุดในกาล-อวกาศนั้น เรียกเส้นทางสั้นสุดนั้นว่า geodesic ซึ่งในกรณีที่พื้นเรียบนั้น geodesic ก็จะเป็น
เส้นตรงอย่างที่คาดกันไว้ แต่ว่าหากกาล-อวกาศมีการยุบตัวลงเนื่องจากการมีอยู่ของมวล ก็จะทำา ให้เส้น
geodesic ดังกล่าวกลายเป็นเส้นโค้ง เช่น วงกลม วงรี พาราโบลา หรือ ไฮเปอร์โบลา ทำาให้เห็นเป็นวงโคจร
นอกจากนี้ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปยังทำานายการส่ายควงของตัววงโคจรทำาให้วงโคจรแทนที่จะกลับมาปิด
ที่เดิม ก็กลายเป็นค่อยๆ หมุนไปเป็นรูปกลีบดอกไม้แทน
นอกจากนี้ ผลจากการศึกษาทางควอนตัมฟิสิกส์ได้แสดงได้ให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว จักรวาลของเรามี
ลักษณะเป็นขั้นๆ ไม่ต่อเนื่อง (discreteness) ในหลายๆ ลักษณะ ซึ่งผลตามมาอย่างหนึ่งก็คือ จริงๆ แล้ววง
โคจรของดาวเคราะห์นั้นไม่ได้มีได้ทุกระยะห่างจากดวงอาทิตย์ แต่ว่าจะมีวงโคจรที่เสถียร เช่นเดียวกับ
อิเล็กตรอนในอะตอม (แนวคิดของ allowed orbit นี้ก็มาจากภายในอะตอมนี้เอง) แต่ว่าเนื่องจากขนาด
อันใหญ่โตของวงโคจร ทำาให้แต่ละขั้นที่เป็นไปได้นั้นห่างกันมากจนบอกได้ยากมาก แลเหมือนกับว่ามีความ
ต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดเกี่ยวกับวงโคจรของดาวเคราะห์นั้นปรากฎขึ้นในครึ่งหลังของคริสศตวรรษที่ 20
นี้เอง โดยการศึกษาโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยคำานวณอย่างละเอียด ชี้ให้เห็นว่าระบบของวัตถุที่เคลื่อนที่ภาย
ใต้แรงดึงดูดระหว่างมวลนี้ มีลักษณะยุ่งเหยิง (chaotic) ในแง่ที่ว่าไม่สามารถทำานายได้อย่างชัดเจนว่าจะ
เกิดอะไรขึ้น หรือว่า อยู่ดีๆ ดาวเคราะห์จ ะบังเอิ ญใกล้กันเข้ามาชนพุ่งเข้าหากันในที่สุดได้หรือไม่ การ
เปลี่ยนตำา แหน่งเพียงเล็กน้อยของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งอาจส่งผลให้ทั้งระบบเข้าสู่สภาพเสียสมดุลย์ก็ได้
เรียกปรากฎการณ์นี้ว่า butterfly effect (จากความเชื่อที่ว่าการที่ผีเสื้อกระพือปีกในซีกโลกหนึ่ง ก็อาจจะ
ทำา ให้เกิดพายุในอีกซีกโลกได้ เนื่องจากลักษณะภูมิอากาศของโลกเองก็มีลักษณะยุ่งเหยิงเช่นเดียวกัน)
นอกจากนี้ ก่อนหน้านี้เมื่อร้อยหรือสองร้อยปีก่อนยังมีการพิสูจน์ไปแล้วว่าปัญหาการเคลื่อนของแรงดึงดูด
ระหว่างมวลของระบบวัตถุ 3 ชิ้น (Three-body problem) ก็ทำาให้เกิดลักษณะยุ่งเหยิงแล้วในกรณีทั่วๆ ไป
นั่นคือต่อให้มีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีแค่ไหน แต่ในทางทฤษฎีเราก็ถูกจำากัดการทำานายของเราจากขีดจำากัด
ของความแม่นยำาในการวัดของเราเอง (ทั้งคุณภาพของเครื่องมือ และ จากหลักความไม่แน่นอนของไฮเซน
เบิร์ก) ทำาให้ไม่สามารถทำานายได้ 100% อีกต่อไปถึงสภาพของระบบสุริยะในอนาคต
จะเห็นว่าจากความพยายามที่จะเข้าใจการเคลื่อนที่ของเทหวัตถุที่เรารู้จักมาแต่โบราณเหล่านี้
ทำาให้เราได้เปิดโลกทัศน์และพัฒนาความเข้าใจในโลกรอบตัวของเราในระดับรากฐานขึ้นอย่างมากมาย
กฎการเคลื่อนที่ของ Newton
ตามที่เราทราบกันแล้ว Newton ได้เสนอกฎการเคลื่อนที่ไว้สามข้อ สรุปได้ง่ายๆ ดังนี้
1. วัตถุที่อยู่นิ่ง ถ้าไม่มีแรงกระทำาก็จะอยู่นิ่งต่อไป
2. วัตถุที่อยู่นิ่ง ถ้ามีแรงมากระทำา จะทำาให้เกิดความเร่งแปรผันตรงกับ “มวล” ของวัตถุนั้น
3. ทุกๆ แรงกระทำา จะมีแรงกระทำาในทิศตรงข้ามกลับมาโดยมีขนาดเท่ากัน
กฎที่จะมีความสำาคัญกับเราในการศึกษาครั้งนี้ก็คือกฎข้อที่สอง ซึ่งสามารถเขียนในทางคณิตศาสตร์ได้ว่า
F ma
2
dv d x
โดยที่ a คือความเร่งของวัตถุ
dt dt 2
m คือมวลของวัตถุ (ถือว่าคงที่ เนื่องจากพิจารณาความเร็ว v = c )
การวิเคราะห์โดยใช้เวกเตอร์
การพิจารณาการเคลื่อนที่แบบดังกล่าว เป็นการสะดวกที่จะกำาหนดเวกเตอร์ฐานที่เราจะทำา งาน
ด้วยเป็นเวกเตอร์ออกจากศูนย์กลาง และ เวกเตอร์ตั้งฉากกับเวกเตอร์แรก ซึ่งจะเรียกว่า uˆr และ û ตาม
ลำาดับ มีสมการดังนี้
uˆr iˆ cos t ˆj sin t
uˆ iˆ sin t ˆj cos t
เมื่อ iˆ, ˆj เป็นเวคเตอร์ในแนวแกน x และ y ตามลำาดับ
สังเกตว่า
d d
uˆr uˆ , uˆ uˆr
dt dt
2
d d2
2 r
ˆ
u 2
ˆ
u r , uˆ 2uˆ
2
dt dt
กลับมาพิจารณาการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์อีกครั้ง ให้ rr ruˆ เป็นเวคเตอร์บอกตำา แหน่งของ
ดาวเคราะห์หนึ่งๆ จะได้
r d d ˆ
v r uˆr r u
dt dt
r d 2r d ˆ d
2
dr d ˆ
2
a 2 r
r u r 2
2 u
dt dt dt dt dt
สังเกตว่าแรงดึงดูดที่ดวงอาทิตย์ (มวล M) กระทำาต่อดาวเคราะห์ (มวล m) นี้ก็คือ
r GMm r
f 2 uˆr ma
r
ดังนั้นจะได้สมการ
d 2r d ˆ d
2 2
dr d ˆ GM
2 r ur r 2 2 u 2 uˆr
dt dt dt dt dt r
นั่นคือ
d 2r d
2
GM
r 2 .......... *
dt 2
dt r
r d 2 dr d 0......... **
2
dt 2
dt dt
ก่อนอื่นสมการ (**) สามารถเขียนเป็น
1 d d 2 dr
0
d dt dt r dt
dt
d d d
ln r 0
2
ln
dt dt dt
d 2 d
ln r 0
dt dt
d d
นั่ น คื อ r2 เป็ น ค่ า คงที่ โดยทั่ ว ไปแล้ ว เราจะพิ จ ารณาว่ า C mr 2 เป็ น ค่ า คงที่ ซึ่ ง เรี ย กว่ า “
dt dt
โมเมนตัมเชิงมุม” และการที่ค่าโมเมนตัมเชิงมุมนี้คงที่เรียกว่า หลักการอนุรักษ์โมเมนตัมเชิงมุม ซึ่งเป็นจริง
สำาหรับทุกๆ แรงเข้าศูนย์กลาง (central force)
d C
เมื่อแทนค่า ลงใน (*) จะได้ว่า
dt mr 2
d 2r C 2 GM
2
2 3 2 .... ***
dt mr r
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว จะเห็นว่าการแก้สมการหา r ในรูปของ t ของโดยตรงค่อนข้างจะยากและยังไม่ได้
ประโยชน์อีกด้วย เนื่องจากสมการในรูปเชิงขั้วทั่วไปมักจะเขียน r ในรูป θ มากกว่า จึงเป็นการดีที่เราจะ
d2 1
เขียนสมการนี้ใหม่โดยพิจารณา ดังนี้
d 2 r
1 dr
d 1 d 1 r dt 2 m dr
r dt
d r d dt C 1 C dt
2
m r
d d 1 d m dr m d 2r
d d 1 dt d r dt C dt C dt 2 m2 r 2 d 2r
2
d d r
d C C C dt 2
2 2
dt mr mr
แทนลงในสมการ (***)
C2 d 2 1 C2 GM
2 2
m r d r m r
2 2 2 3
r
d 2 1 1 GMm 2
d 2 r r C2
d 2 1 GMm 2 1 GMm 2
d 2 r C2 r C2
1 GMm 2
A cos B
r C2
เมื่อ A และ B เป็นค่าคงที่ซึ่งเหมาะสม
1 T
r
GMm 2
1 TA cos B
A cos B
C2
C2
เมื่อ T และ A, B เป็นค่าคงที่
GMm 2
วิธีอื่นๆ ในการหาวงโคจร
นอกจากวิธีที่ใช้การวิเคราะห์โดยตรงแล้ว ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถทำาให้เราสรุปได้ว่าวงโคจรของ
ดาวเคราะห์ภายใต้แรงดึงดูดที่แปรผกผันกับระยะทางกำา ลังสองนั้นจะเป็นรูปภาคตัดกรวย เช่น การแก้
สมการเชิงอนุพันธ์โดยใช้วิธีการพิจารณาพลังงานหรือศักย์เป็นหลัก [Classical Mechanics 3rd ed. –
Goldstein, Poole & Safko] และ วิธีเรขาคณิตที่ไม่ต้องใช้คณิตศาสตร์ขั้นสูงเลยแต่การอธิบายค่อนข้าง
ยาว จึงไม่ได้นำา มาใส่ไว้ ณ ที่นี้ [Feynman’s Lost lecture: The motion of planets around the sun -
David L. Goodstein, Judith R. Goodstein]
หนังสืออ้างอิง
พรชัย พัชรินทร์ตนะกุล. ดาราศาสตร์และดาราฟิสิกส์เบื้องต้น. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
2528.
วุทธิพันธุ์ ปรัชญพฤทธิ์. ฟิสิกส์ (กลศาสตร์ : หน่วยของการวัด กฎของการเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่ภายใต้
อิทธิพลของแรง ทฤษฎีสัมพัทธภาพ). กรุงเทพฯ : สอวน.. 2547.
มงคล ทองสงคราม. เรขาคณิตวิเคราะห์ Analytic Geometry. กรุงเทพฯ : วี. เจ. พริ้นติ้ง, 2543.
Frederick W. Byron, Jr. and Robert W. Fuller. Mathematics of classical and quantum physics.
United States of America : Dover, 1992.
Leon Lederman. The god particle. United States of America : Mariner books, 2006.
David L. Goodstein and Judith R. Goodstein. Feynman’s lost lectures : The motion of planets
around the sun. United States of America : California Institute of Technology, 1996.